หน่วยที่7
ภาษาในวิถีชีวิตและสังคมไทย
ตอนที่1
ความรู้ทั่วไปเรื่องภาษา
1.1 ความหมายของภาษา
ภาษา คือ ระบบการสื่อสารอย่างมีความหมายของมนุษย์ เป็นระบบการสื่อสารด้วยเสียงเป็นสำคัญ
ระบบเสียงของภาษามีดังนี้คือ
(1.) เมื่อนำเสียงต่างๆมารวมกันออกเสียงแต่ละครั้งเรียกว่า - พยางค์
(2.) พยางค์ที่มีความหมายเรียกว่า -คำ
(3.) การนำคำมารวมกันเรียกว่า-กลุ่มคำ
(4.) เมื่อสร้างระบบคำ กลุ่มคำ ตามลักษณะโครงสร้าง สามารถร้อยเรียงเป็นข้อความต่อเนื่องเรีกว่า - ประโยค
มนุษย์สามารถใช้ภาษาในการถ่ายทอด อารมณ์ ความคิด และความรู้ จึงเกิดมีวิทยาการ มีวัฒนธรรมและความเจริญก้าวหน้าต่างๆ
1.2 ความสำคัญของภาษา
ภาษานั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคม และ วัฒนธรรมเจริญก้าวหน้า สังคมใดมีระบบการสื่อสารที่ดี ทำให้เกิดความสืบเนื่องทางความคิด ดังนั้นภาษาจึงมีความสำคัญในแง่ประวัติของวัฒนธรรม อารยธรรมมนุษยชาติ เพราะใช้สื่อสารและบันทึก ซึ่งถือว่าสังคมและวัฒนธรรมนั้นเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ เช่นสังคมไทยที่เริ่มบันทึกถ้อยความเป็นหลักฐานตั้งแต่ปี พ.ศ.1826 เป็นต้นมา
1.3 การศึกษาภาษา
เนื่องจากภาษามีความสำคัญ มนุษย์จึงต้องศึกษาภาษาเพื่อให้ใช้ได้อย่างเหมาะสม การศึกษาภาษาแบ่งเป็น 2 แบบคือ
(1.) ศึกษาเพื่อใช้ภาษาให้ถูกต้องและสื่อสารได้ความตามไวยกรณ์หรือหลักภาษา
(2.) ศึกษาเพื่อวิเคราะห์ภาษาทางด้านโครงสร้าง ความเป็นมา ภาษาต่างยุคต่างสมัย ความสำพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมในแขนงอื่นๆ หน้าที่ของภาษาในสังคม
ตอนที่2
ข้อพินิจเกี่ยวแก่ภาษาไทย
2.1 ลักษณะสำคัญของภาษาไทย
(1.) ระบบเสียง
- เสียงแท้ คือเสียงสระเป็นแกนกลางของพยางค์
- เสียงแปร คือเสียงพยัญชนะ เป็นพยัญชนะต้นนำพยางค์ และเป็นตัวสะกดอยู่ท้ายพยางค์ เสียงพยัญชนะต้นนี้อาจจะเป็นพยัญชนะเดี่ยวหรือพยัญชนะประสม (เป็นอักษรนำหรือควบกล้ำ)
- เสียงดนตรี คือเสียงสูง ต่ำ หรือเสียงวรรณยุกต์
(2.) ระบบคำ เป็นคำเดี่ยวๆ เรียกว่าคำมูล และมีวิธีสร้างคำด้วยการซ้ำคำ ซ้อนคำ และ ประสมคำ มีการยืมวิธีการสร้างคำแบบบาลีสันสกฤตคือ การสมาส มาใช้สร้างคำด้วย
ชนิดของคำ ต้องพิจารณาเมื่ออยู่ในกลุ่มคำหรือในประโยค ซึ่งแสดงถึงหน้าที่ของคำ จำแนกด้วยตำแหน่งของคำในประโยคเป็นสำคัญ
เรื่องทางไวยกรณ์อื่นๆ เช่นเรื่องกาล(Tense) มาลา(mood) วาจก (Voice) มักใช้คำประกอบแสดง - กรรมวาจกที่มีกริยาและคำแวดล้อมมักบ่งบอกอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคำว่า "ถูก" หรือ "ได้รับ" มาประกอบ
2.2 ภาษาไทยในแง่มุมต่างๆ
(1.) ภาษากลาง ภาษาราชการ ภาษามาตราฐาน - ภาษากลางคือภาษาที่ใช้สื่อสารกันในประเทศไทย จำเป็นต้องมีมาตราฐานที่รับรู้กันโดยทั่วไปจึงเรียกว่าภาษามาตราฐาน หรือภาษาที่ใช้ในราชการ ซึ่งคนในประเทศต้องเรียนกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ให้ได้ถูกต้อง เพื่อใช้ในการบันทึกความรู้ ประวัติ การสั่งการ การบริหารงาน ซึ่งมีข้อดีคือใช้ศึกษางานต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติ มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นเพื่อให้ใช้ให้ถูกต้องเป็นมาตราฐานเพื่อไม่ให้ภาษาเปลี่ยนเร็วเกินไปนัก และหากภาษามาตราฐานผิดเพี้ยนไปโดยใช่เหตุก็จะกล่าวกันว่านั้นคือภาษาวิบัติ
(2.) ภาษาถิ่น - ภาษากลางของไทยก็คือภาษาถิ่นกรุงเทพฯ ซึ่งเปลี่ยนแปลงเร็วตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ต่างจากภาษาถิ่นอื่นๆที่จะรักษาศัพท์และวัฒนธรรมแบบเดิมไว้ได้มากกว่า ดังนั้นภาษาถิ่นจึงใช้ศึกษาข้อมูล ศึกษาวรรณคดี ศึกษาภาษาเชิงประวัติศาสตร์ได้ด้วย
(3.) ภาษากับบทบาททางการเมือง และ การศึกษา - ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติและชาตินิยม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติของตน
(1.) ระบบเสียง
- เสียงแท้ คือเสียงสระเป็นแกนกลางของพยางค์
- เสียงแปร คือเสียงพยัญชนะ เป็นพยัญชนะต้นนำพยางค์ และเป็นตัวสะกดอยู่ท้ายพยางค์ เสียงพยัญชนะต้นนี้อาจจะเป็นพยัญชนะเดี่ยวหรือพยัญชนะประสม (เป็นอักษรนำหรือควบกล้ำ)
- เสียงดนตรี คือเสียงสูง ต่ำ หรือเสียงวรรณยุกต์
(2.) ระบบคำ เป็นคำเดี่ยวๆ เรียกว่าคำมูล และมีวิธีสร้างคำด้วยการซ้ำคำ ซ้อนคำ และ ประสมคำ มีการยืมวิธีการสร้างคำแบบบาลีสันสกฤตคือ การสมาส มาใช้สร้างคำด้วย
ชนิดของคำ ต้องพิจารณาเมื่ออยู่ในกลุ่มคำหรือในประโยค ซึ่งแสดงถึงหน้าที่ของคำ จำแนกด้วยตำแหน่งของคำในประโยคเป็นสำคัญ
เรื่องทางไวยกรณ์อื่นๆ เช่นเรื่องกาล(Tense) มาลา(mood) วาจก (Voice) มักใช้คำประกอบแสดง - กรรมวาจกที่มีกริยาและคำแวดล้อมมักบ่งบอกอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคำว่า "ถูก" หรือ "ได้รับ" มาประกอบ
2.2 ภาษาไทยในแง่มุมต่างๆ
(1.) ภาษากลาง ภาษาราชการ ภาษามาตราฐาน - ภาษากลางคือภาษาที่ใช้สื่อสารกันในประเทศไทย จำเป็นต้องมีมาตราฐานที่รับรู้กันโดยทั่วไปจึงเรียกว่าภาษามาตราฐาน หรือภาษาที่ใช้ในราชการ ซึ่งคนในประเทศต้องเรียนกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ให้ได้ถูกต้อง เพื่อใช้ในการบันทึกความรู้ ประวัติ การสั่งการ การบริหารงาน ซึ่งมีข้อดีคือใช้ศึกษางานต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติ มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นเพื่อให้ใช้ให้ถูกต้องเป็นมาตราฐานเพื่อไม่ให้ภาษาเปลี่ยนเร็วเกินไปนัก และหากภาษามาตราฐานผิดเพี้ยนไปโดยใช่เหตุก็จะกล่าวกันว่านั้นคือภาษาวิบัติ
(2.) ภาษาถิ่น - ภาษากลางของไทยก็คือภาษาถิ่นกรุงเทพฯ ซึ่งเปลี่ยนแปลงเร็วตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ต่างจากภาษาถิ่นอื่นๆที่จะรักษาศัพท์และวัฒนธรรมแบบเดิมไว้ได้มากกว่า ดังนั้นภาษาถิ่นจึงใช้ศึกษาข้อมูล ศึกษาวรรณคดี ศึกษาภาษาเชิงประวัติศาสตร์ได้ด้วย
(3.) ภาษากับบทบาททางการเมือง และ การศึกษา - ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติและชาตินิยม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติของตน
ตอนที่ 3
ภาษากับสังคม
3.1 สังคมภาษา
เราจะพบว่าสังคมมนุษย์ดำรงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงได้เพราะมีการใช้ภาษาร่วมกัน ภาษาเป็นเครื่องเชื่อมโยงให้เข้าใจความคิด ความรู้สึก สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของกลุ่มชนในสังคมเดียวกัน
สังคมมนุษย์เป็นสังคมภาษา ทำให้ซับซ้อนกว่าสังคมของสัตว์ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารเรื่องราว สืบทอดความรู้ ความคิด ภาษาที่มีอยู่ในส่วนต่างๆของสังคมมีประเด็นที่เหมือนกันจึงรวมกันเป็นสังคมใหญ่ แต่ขณะเดียวกันภาษาก็รักษาระดับความต่างของกลุ่มหรือระดับสังคมไว้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นภาษาสังคม
3.2 ภาษาสังคม
สังคมหนึ่งๆมี "ภาษา" ที่มีลักษณะเฉพาะของตน ภาษาที่แต่ละคนใช้อาจจะแตกต่างกันตามอาชีพ ตามท้องถิ่น ตามกลุ่ม ตามสังคม ตามความรู้ ตามวัย เพศ และ การศึกษา
3.3 ภาษาศาสตร์สังคม
การศึกษาภาษาศาสตร์สังคมคือ การศึกษาภาษาในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม รวมไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออกทางภาษา พฤติกรรมที่มีต่อภาษาและผู้ใช้ภาษาด้วย แบ่งเป็น 2 แบบด้วยกันคือ
(1.) ภาษาสังคมแนวบรรยาย เป็นการศึกษาเพื่อหาข้อสรุปว่า ภาษาในชุมชนภาษาพูดหรือเขียนกันอย่างไร? คนในชุมชนนั้นมีพฤติกรรมในภาษาอย่างไร?
(2.)ภาษาในเชิงพลวัต เป็นการศึกษาถึงเหตุผลของความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของภาษาในสังคมหนึ่งในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บางอย่างในภาษายังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้สังคมจะเปลี่ยนไป เช่น "ตกฟาก" ทั้งที่ปัจจุบันไม่มีฟากแล้ว และคำว่า "เก็บเบี้ยใส่ใต้ถุนร้าน" ทั้งที่ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้เบี้ยแล้วเช่นกัน
สังคมมนุษย์เป็นสังคมภาษา ทำให้ซับซ้อนกว่าสังคมของสัตว์ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารเรื่องราว สืบทอดความรู้ ความคิด ภาษาที่มีอยู่ในส่วนต่างๆของสังคมมีประเด็นที่เหมือนกันจึงรวมกันเป็นสังคมใหญ่ แต่ขณะเดียวกันภาษาก็รักษาระดับความต่างของกลุ่มหรือระดับสังคมไว้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นภาษาสังคม
3.2 ภาษาสังคม
สังคมหนึ่งๆมี "ภาษา" ที่มีลักษณะเฉพาะของตน ภาษาที่แต่ละคนใช้อาจจะแตกต่างกันตามอาชีพ ตามท้องถิ่น ตามกลุ่ม ตามสังคม ตามความรู้ ตามวัย เพศ และ การศึกษา
3.3 ภาษาศาสตร์สังคม
การศึกษาภาษาศาสตร์สังคมคือ การศึกษาภาษาในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม รวมไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออกทางภาษา พฤติกรรมที่มีต่อภาษาและผู้ใช้ภาษาด้วย แบ่งเป็น 2 แบบด้วยกันคือ
(1.) ภาษาสังคมแนวบรรยาย เป็นการศึกษาเพื่อหาข้อสรุปว่า ภาษาในชุมชนภาษาพูดหรือเขียนกันอย่างไร? คนในชุมชนนั้นมีพฤติกรรมในภาษาอย่างไร?
(2.)ภาษาในเชิงพลวัต เป็นการศึกษาถึงเหตุผลของความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของภาษาในสังคมหนึ่งในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บางอย่างในภาษายังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้สังคมจะเปลี่ยนไป เช่น "ตกฟาก" ทั้งที่ปัจจุบันไม่มีฟากแล้ว และคำว่า "เก็บเบี้ยใส่ใต้ถุนร้าน" ทั้งที่ปัจจุบันเราไม่ได้ใช้เบี้ยแล้วเช่นกัน
ตอนที่4
ภาษาในสังคมไทย
4.1 ระดับภาษา
ระดับภาษาคือการใช้ภาษาแสดงฐานะของบุคคล และฐานะความสัมพันธ์กันในสังคม สิ่งที่แสดงถึงระดับภาษาที่ชัดเจนที่สุดได้แก่ราชาศัพท์
4.2 ภาษาเฉพาะกลุ่ม
ภาษาเฉพาะอาชีพ ภาษาเฉพาะกิจ เช่น อาจจะเรียกว่าภาษาหนังสือพิมพ์ ภาษาโฆษณาหรือภาษาที่ใช้ทางวิชาการต่างๆ
4.3 การเปลี่ยนแปลงของภาษา
ภาษาเป็นสิ่งที่มีชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงของภาษาไปตามลักษณะสังคม - ค่านิยม
เมื่อสังคมเปลี่ยนภาษาก็จะเปลี่ยนตาม ดังเช่นเราจะพบว่า เดิมคนไทยมีสังคมเกษตรกรรมแต่เปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ซึ่งทำให้เกิดสังคมเมือง สังคมชนบท ภาษาก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน บางคำก็ยังเหลืออยู่ บางคำก็เลิกใช้แล้ว เช่น ทุ่ม-โมง
ปัจจัยที่ทำให้ภาษาเปลี่ยนเช่น
- การอพยพของแรงงานจากชนบทเข้าสู่เมืองหลวง อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สำเนียงกรุงเทพเปลี่ยนไป
- ภาษาต่างประเทศที่เข้ามาในภาษาไทย ทำให้เกิดคำใหม่ขึ้นเช่น บาลี-สันสกฤต เขมร จีน อังกฤษ
4.4 การอ่านออกเขียนได้
การอ่านออกเขียนได้ทำให้สังคมเจริญได้เร็ว มั่นคง และเจริญได้ในวงกว้าง เพราะการถ่ายทอดความคิดความอ่านวิทยาการ สามารถทำได้เร็ว กระจายได้สะดวก มีหลักฐานอ้างอิง ค้นคว้าได้
4.5 ภาษาวิบัติ
ภาษานั้นเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เมื่อมีผู้ใช้ก็จะถือว่าเป็นภาษา ในทางภาษาศาสตร์ไม่คำนึงว่าภาษานั้นจะถูกหรือไม่แค่มีผู้ใช้ก็ถือว่าเป็นภาษาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้เป็นภาษามาตราฐาน ก็จะต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์มิฉะนั้นก็จะเกิดลักษณะที่เรียกว่า ภาษาวิบัติ
ภาษาวิบัติ คือ ภาษาที่เสียสมบัติไป เสียลักษณะพิเศษของภาษานั้นๆ เสียถ้อยคำสำนวนที่ดี ทำให้ภาษาจนลง นั่นคือภาษาที่ใช้นั้นอาจจะใช้ผิด เมื่อใช้ผิดภาษาก็วิบัติไป
อย่างไรก็ตามลักษณะของภาษาไทยนั้นเป็นภาษาที่ใช้การเรียงร้อยถ้อยคำเป็นวิธีการสำคัญในการสื่อความหมาย และมีลักษณะเฉพาะหลายอย่าง แต่เดิมภาษาไทยไม่ค่อยใช่บุพบทมากหรือพร่ำเพรื่อเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เช่น "นอนเตียง" ก็เพียงพอที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องใช้คำว่า "นอนบนเตียง" หรือการสลับที่คำขยาย เช่น "ง่ายต่อการติดตั้ง" เพียงกล่าวว่า "ติดตั้งง่าย" ก็พอแล้ว
ดังนั้นในเรื่องของภาษา เราต้องดูให้รู็ให้เข้าใจใช้ภาษาให้ถูกต้องและรู้ถึงอิทธิพลของภาษาว่า การใช้ภาษาที่ผิดๆนั้นอาจจะทำให้การสื่อสารผิดไปได้ เราจะพบว่าภาษามีอำนาจทำให้เกิดผลต่อสังคมได้ ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงการใช้ภาษาให้ถูกต้องและเข้าใจธรรมดาธรรมชาติของภาษา
Credit By PuPaKae @ 10151 ไทยศึกษา (ถอดคำบรรยาย)